วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554

การปลูกคะน้า

การปลูกคะน้า
          
          ผักคะน้า มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปเอเชียและปลูกกันมากในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทย คะน้าเป็นผักที่นิยมปลูกและบริโภคกันมา โดยปลูกเพื่อบริโภคส่วนของใบและลำต้น อายุตั้งแต่หว่านหรือหยอดเมล็ดจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 45-55 วัน ผักคะน้าเป็นผักสวนครัวที่สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงเวลาที่ปลูกได้ผลดี ที่สุด
อยู่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเมษายน
การเพาะกล้า
         1. การเตรียมแปลงเพาะ แปลงเพาะกล้าควรมีขนาดกว้าง 1 เมตร ส่วนความยาวตามความเหมาะสม
         2. การเตรียมดินบนแปลงเพาะกล้า ควรขุดไถพรวนดินอย่างดี ตากดินไว้ประมาณ 5-7 วัน ย่อยหน้าดิน ให้ละเอียด แล้วใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วให้มาก คลุกเคล้าให้เข้ากับดินให้ทั่ว
         3. การเพาะ หว่านเมล็ดให้กระจายสม่ำเสมอทั่วแปลง กลบเมล็ดด้วยดินหรือปุ๋ยคอกที่สลายตัวดีแล้วให้หนาประมาณ 0.6-1 เซนติเมตร คลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้งบางๆ รดน้ำให้ชุ่มด้วยบัวรดน้ำ
         4. การดูแลต้นกล้า ต้นกล้าจะงอกภายใน 7 วัน ควรดูแลต้นกล้า ถอนต้นที่อ่อนแอ ไม่แข็งแรง หรือเบียดกันแน่นทิ้งไป ผสมสารละลายสตาร์ทเตอร์โวลูชั่นในน้ำแล้วนำไปรด เพื่อให้ต้นกล้าแข็งแรงสมบูรณ์ ดูแลป้องกันโรคแมลงที่เกิดขึ้น เมื่อต้นกล้ามีอายุประมาณ 25-30 วัน จึงทำการย้ายไปปลูกในแปลงปลูกต่อไป
วิธีการปลูก
         การปลูกคะน้านิยมปลูก 2 แบบ คือ
         1. แบบหว่านกระจายทั่วแปลง เหมาะสำหรับแปลงปลูกขนาดใหญ่ ทำเป็นการค้า
         2. แบบแถวเดียว เหมาะสำหรับแปลงปลูกขนาดเล็กหรือผักสวนครัว เตรียมดินโดยการใช้แรงงานคนให้น้ำโดยใช้บัวรดน้ำ
         ระยะปลูก ควรให้มีระยะปลูกระหว่างต้นและระหว่างแถวประมาณ 20 X 20 เซนติเมตร
         การเตรียมแปลงปลูก มีวิธีการดังนี้
         1. ขุดดินให้ลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร
         2. ตากดินทิ้งไว้ประมาณ 7-10 วัน
         3. นำปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วมาใส่ คลุกเคล้าให้เข้ากับดินเป็นการปรับปรุงสภาพทางกายภาพและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน
         4. พรวนย่อยหน้าดินให้มีขนาดเล็ก โดยเฉพาะการปลูกแบบหว่านลงในแปลง เพื่อไม่ให้เมล็ดตกลงไปในดิน เพราะจะไม่งอกหรืองอกยากมาก
         5. ถ้าดินเป็นกรดควรใส่ปูนขาวเพื่อปรับปรุงดินให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสม
         ในการปลูกคะน้านิยมหว่านเมล็ดลงบนแปลงปลูกโดยตรงมากกว่าย้ายกล้า โดยมีขั้นตอนดังนี้
         1. หว่านเมล็ดให้กระจายทั่วทั้งผิวแปลงโดยให้เมล็ดห่างกันประมาณ 2-3 เซนติเมตร
         2. ใช้ดินผสมหรือปุ๋ยคอกที่สลายตัวดีแล้วหว่านกลบเมล็ดให้หนาประมาณ 0.6-1 เซนติเมตร เพื่อเก็บรักษาความชื้นและป้องกันเมล็ดถูกน้ำกระแทกกระจาย
         3. คลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้งบางๆ
         4. รดน้ำให้ทั่วถึงและสม่ำเสมอ ต้นกล้าจะงอกภายใน 7 วัน
         5. หลังจากต้นคะน้างอกแล้วประมาณ 20 วัน หรือต้นสูงประมาณ 10 เซนติเมตร ให้เริ่มถอนแยก โดยเลือกต้นที่ไม่สมบูรณ์ออก ทิ้งระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 10 เซนติเมตร ต้นอ่อนของคะน้าที่ถอนแยกออกมาในวัยนี้เมื่อเด็ดรากออกแล้วส่งขายตลาดเป็นยอดผักได้
         6. เมื่อคะน้ามีอายุประมาณ 30 วัน ให้ถอนแยกครั้งที่ 2 ให้เหลือระยะห่างระหว่างต้น 20 เซนติเมตรต้นอ่อนของคะน้าที่ถอนแยกออกมาในวัยนี้เมื่อเด็ดรากออก แล้วส่งขายตลาดเป็นยอดผักได้
         7. ในการถอนแยกคะน้าแต่ละครั้งควรกำจัดวัชพืชไปด้วย
การให้น้ำ
         1. คะน้าต้องการน้ำอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ เนื่องจากมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้นควรปลูกในแหล่งที่มีน้ำอย่างเพียงพอ
         2. การให้น้ำให้ใช้ฝักบัวฝอยรดให้ทั่วและให้ชุ่ม ในเวลาเช้าและเย็น
การใส่ปุ๋ย
         คะน้าต้องการปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูง อาจใส่ปุ๋ยสูตร 12-8-8 หรือ 20-11-11 ในอัตราประมาณ 100 กิโลกรัมต่อไร่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดินและปริมาณปุ๋ยคอกที่ใช้โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง คือ หลังจากถอนแยกครั้งแรกและหลังจากถอนแยกครั้งที่ 2
การเก็บเกี่ยวผลผลิต
         อายุการเก็บเกี่ยวของคะน้าอยู่ที่ประมาณ 45-55 วันหลังปลูก คะน้าที่ตลาดต้องการมากที่สุดคือ คะน้าที่มีอายุ 45 วัน แต่คะน้าที่มีอายุ 50-55 วัน เป็นระยะที่เก็บเกี่ยวได้น้ำหนักมากกว่า วิธีการเก็บเกี่ยวคะน้าทำได้ดังนี้
         1. ใช้มีดคมๆ ตัดให้ชิดโคนต้น
         2. ตัดไล่เป็นหน้ากระดานไปตลอดทั้งแปลง
         3. หลังตัดแล้วบางแห่งมัดด้วยเชือกกล้วยมัดละ 5 กิโลกรัม บางแห่งก็บรรจุเข่ง แล้วแต่ความสะดวกในการขนส่ง
         การเก็บเกี่ยวคะน้าให้ได้คุณภาพดี รสชาติดี และสะอาด ควรปฏิบัติดังนี้
         1. เก็บในเวลาเช้าดีกว่าเวลาบ่าย
         2. ใช้มีดเล็กๆ ตัด อย่าเก็บหรือเด็ดด้วยมือ
         3. อย่าปล่อยให้ผักแก่เกินไป
         4. หลังเก็บเกี่ยวเสร็จควรนำผักเข้าที่ร่ม วางในที่โปร่งและอากาศเย็น
         5. ภาชนะที่บรรจุผักควรสะอาด




ชุดดินดำเนินสะดวก

ชุดดินดำเนินสะดวก  : ดินชุดที่  8
>>ลักษณะทั่วไป
>>ลักษณะภูมิประเทศ
มีลักษณะเป็นที่ลาบลุ่มสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ มีความลาดเทจากทิศ ตะวันตกเฉียงเหนือไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้
>> ลักษณะภูมิอากาศ
มีลักษณะอากาศแบบมรสุมเขตร้อน ได้รับฝนจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้เดือน พฤษภาคม - ตุลาคม บางครั้งจะได้รับพายุไซโคลนจากอ่าวเบงกอล ประมาณเดือน พฤษภาคม - มิถุนายน มี ๓ ฤดูกาล คือ
๑. ฤดูหนาว เริ่มตั้งเดือน พฤศจิกายน ถึงเดือน กุมภาพันธ์
อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ ๒๕ องศาเซลเซียส
๒ . ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือน มีนาคม ถึงเดือน มิถุนายน
อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ ๓๐ องศาเซลเซียส
๓ . ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือน กรกฎาคม ถึงเดือน ตุลาคม
อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ ๒๘ องศาเซลเซียส
>> ลักษณะดิน
แบ่งตามธรณีเส้นฐาน วัตถุ ต้นกำเนิดและชนิดของดิน จากข้อมูลการสำรวจดินในจังหวัดราชบุรี ของกรมพัฒนาดิน สามารถแบ่งได้
๑. ที่ราบลุ่มน้ำขึ้นถึง ( Active Tidal Flats ) สภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบต่ำ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ประมาณ ๑ เมตร ปัจจุบันได้รับอิทธิพลจากน้ำทะเลไม่มากนัก เนื่องจากมีการสร้างระบบป้องกันน้ำเค็มเป็นบริเวณที่เกิดจากการทับถมของตะกอนน้ำทะเล และน้ำกร่อย พื้นที่พบประมาณ ๕ % ของพื้นที่ทั้งโครงการ อยู่ตอนล่างในเขตอำเภอดำเนินสะดวก อำเภอเมืองราชบุรี ดินที่พบได้แก่ดินชุดสมุทรสงคราม ( Smn )
๒ . ที่ราบน้ำเคยท่วมถึง ( Former Tidal Flatc ) สภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มน้ำทะเลเตยท่วมถึงมาก่อน พบในบริเวณที่ราบทางทิศตะวันออกของโครงการ อยู่ในเขต อำเภอบางแพ อำเภอดำเนินสะดวก อำเภอเมืองราชบุรี มีประมาณ ๖๐% ของพื้นที่โครงการ ดินที่พบได้แก่ดินชุดดำเนินสะดวก ( Dm ) ดินชุดบางเลน ( Bl ) ดินขุดบางแพ (Bph ) ดินชุดบางกอก (Bk ) เป็นต้น
๓ . ที่ราบน้ำท่วมถึง ( Flood Plains ) สภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มอยู่ ดินฝั่งแม่น้ำแม่กลองในเขตอำเภอโพธาราม มีประมาณ ๓๕% ของพื้นที่โครงการ ดินที่พบได้แก่ดิน คล้ายดินราชบุรี ที่เป็นด่าง (Rb - ca) หน่วยสัมพันธ์ของดินคล้ายดินชัยนาทที่มีปูนทุติยภูมิ กับคล้ายดินราชบุรีที่เป็นด่าง ( Cm - ca / Cn - ca ) และดินขุดบางประอินเป็นต้น

http://irrigation.rid.go.th/rachaburil/p2.htm